ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Google Ads VS Facebook Ads เลือกช่องทางที่ใช่สำหรับการโฆษณาบนโลกออนไลน์ให้กับธุรกิจคุณ

 

ในการทำการตลาดออนไลน์ มีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กับการทำคอนเทนต์ ซึ่งก็คือการโฆษณา ซึ่งเราก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เราขาดไปไม่ได้เลย แล้วเราควรทำอย่างไร ? ถ้าเกิดเราเริ่มอยากใช้การโฆษณาออนไลน์ให้เป็นส่วนหนึ่งของการทำการตลาด  สิ่งหนึ่งที่สำคัญมาก ๆ ที่เราควรจะตัดสินใจ นั่นคือการเลือกใช้แต่ละช่องทาง ซึ่งก็คงหนีไม่พ้นการต้องเลือกระหว่าง 2 ช่องทางการโฆษณาออนไลน์ที่สำคัญ อย่าง Facebook Ads กับ Google Ads 

แล้วเราจะเลือกอย่างไร ? มีวิธีที่จะทำให้เรารู้ไหมว่าช่องทางไหนคือช่องทางที่เหมาะสม ? วันนี้เรามีวิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจ โดยจะเป็นอย่างไรเรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ

ทำไมต้องโฆษณาออนไลน์ ? ก็อย่างที่รู้กันว่า ณ ปัจจุบันโทรศัพท์มือถือ หรือ อินเทอร์เน็ตนับเป็นปัจจัยที่ 5 ของเราเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องตัดสินใจ เลือกซื้ออะไรในชีวิตประจำวัน ซึ่งถ้าหากเราจะหาข้อมูลกันก็คงจะหนีไม่พ้นการหยิบมือถือขึ้นมาเปิด Google ใช่ไหมครับ แค่นั้นยังไม่พอ เพราะในหลาย ๆ เวลาไม่ว่าจะเป็นช่วงระหว่างรอรถไฟฟ้า หรือ ช่วงเวลาที่อยากจะอัปเดตข่าวที่น่าสนใจ เราก็ต้องเปิดโซเชียลมีเดียขึ้นมาเล่นกันแทบจะทุกคนเลยทีเดียว ซึ่งจากสถิติในประเทศไทยระบุว่ามีผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียมากถึง 52 ล้านคน ซึ่งถ้าเราเป็นธุรกิจที่คิดจะทำการตลาดออนไลน์ให้ได้ผล ก็คงจะหนีไม่พ้นการโฆษณาผ่านช่องทางเหล่านี้แน่นอน หรือหากคุณอ่านแล้วยังไม่มั่นใจ ทาง Adespresso ก็ได้ทำการสรุปมาให้ถึงประโยชน์ ของโฆษณาออนไลน์ดังนี้ครับ ช่วยสร้างการรับรู้ ให้แบรนด์ของเราเป็นที่รู้จักมากขึ้น ช่วยกระจายข่าวสาร และการเผยแพร่ข้อมูลที่ทั่วถึง ช่วยกระตุ้นพฤติกรรมการซื้อของลูกค้า ช่วยตอกย้ำความต้องการของลูกค้า กรณีที่เขามีความสนใจ ช่วยเพิ่มรายได้ และยอดขายจากการซื้อซ้ำ ช่วยขยายช่องทางในการเข้าถึงสินค้า และ บริการของธุรกิจ เห็นอย่างนี้แล้วก็คงเข้าใจว่าทำไมการโฆษณาออนไลน์จึงสำคัญ ซึ่งสำหรับทั้งสองช่องทางอย่าง Facebook Ads กับ Google Ads นั้นก็มีข้อดีที่ต่างกันออกไป และเพื่อเป็นการช่วยคุณตัดสินใจ เราไปเริ่มจากการทำความเข้าใจทั้ง 2 ช่องทางกันดีกว่าครับ ทำความเข้าใจกับ “Google Ads” เบื้องต้น 

คงไม่ต้องสงสัย หรือ มีข้อกังขาใด ๆ กับความยิ่งใหญ่ในแวดวง Search Engine อีกแล้วสำหรับแพล็ตฟอร์มการค้นหา Google นี้ ที่มียอดค้นหามากกว่า 63,000 ต่อวินาที และมีการครองตลาดไปกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ (สถิติจาก Search Engine Land) และด้วยขนาดที่ใหญ่ และ จำนวนผู้ใช้ที่มากขนาดนี้ ก็คงไม่แปลกใจอะไรที่บริษัทจะมีช่องทางในการโฆษณาสำหรับร้านค้า หรือ ธุรกิจ ที่เรียกว่า “Google Ads” โฆษณาของ Google Ads นั้นก็มีหลากหลายรูปแบบ ที่เรียกว่าแทบจะเลือกกันไม่ถูกเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น การโฆษณาแบบ “SEM” หรือ ที่เรียกเต็ม ๆ ว่า “Search Engine Marketing” ซึ่งเป็นรูปแบบของโฆษณาที่อยู่ในหน้าการค้นหาโดยมีหน้าตาเป็นตัวอักษร ซึ่งจุดเด่นของมันก็คือเป็นการโฆษณาที่แสดงตามคียเวิร์ดที่ผู้ใช้ค้นหา ซึ่งก็แน่นอนว่าโฆษณาของเราต้องเกี่ยวกับสิ่งที่เขากำลังสนใจ
ตัวอย่าง SEM ของ Google Ads
ที่มา Wordstream.com
นอกจากการโฆษณาแบบ SEM การโฆษณาอีกรูปแบบที่น่าสนใจก็คือ “GDN” หรือที่เรียกเต็ม ๆ ว่า “Google Display Network” ซึ่งโฆษณารูปแบบนี้จะมีหน้าตาคล้ายป้ายแบนเนอร์ หรือ กล่องโฆษณา ที่มักจะปรากฏขึ้นมาระหว่างที่เรากำลังเข้าไปชมเว็บไซต์ต่าง ๆ ซึ่งก็สามารถกำหนดเป้าหมายได้ว่าจะให้ใครเป็นผู้พบเห็นโฆษณาเราบ้าง โดยมีตัวเลือกให้กำหนดได้หลายอย่าง เช่น คีย์เวิร์ดที่่มีการค้นหา, หัวข้อ และคนที่เคยเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์เรา เป็นต้น ดังนั้นหากจะพูดถึงการปิดการขาย ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการโฆษณากับ Google Ads นั้นทำได้ดีเลยครับ เพราะด้วยการแสดงโฆษณาที่ไม่ได้อาศัยแค่การพึ่งพาแค่จำนวนเพียงอย่างเดียวแต่ยังอิงกับการค้นหาของผู้ใช้ด้วยเช่นกัน
ตัวอย่าง GDN ของ Google Ads

ทำความเข้าใจกับ “Facebook Ads” เบื้องต้น

ถ้าในวงการ Search Engine มี Google ที่เปรียบเสมือนตัวจริงในการเป็นผู้ครองตลาด ในวงการโซเชียลมีเดียก็มีแพล็ตฟอร์มที่เราคุ้นเคยกันอยู่แล้วกับ “Facebook” ที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน โดยตัว Facebook นั้นก็มียอดผู้เข้าใช้ถึง 2.6 พันล้านบัญชี (ที่ยังคงมีการเข้าใช้งานปกติ) หรือ ถ้าหากนับเป็นจำนวนผู้ใช้ต่อวัน Facebook ก็มีผู้เข้าใช้ถึง 1.73 พันล้านคน ดังนั้นครับ บริษัทก็เลยมีช่องทางการให้บริษัทต่าง ๆ ได้ทำการโฆษณากับ “Facebook Ads”  ซึ่งเป็นช่องทางที่มีจุดเด่นที่ความหลากหลายเช่นเดียวกันกับ Google Ads เพราะสามารถเลือกรูปแบบได้ทั้ง รูปภาพ วิดีโอ Carousel (รูปแบบการโฆษณาแบบเลื่อนดูได้) และ อื่น ๆ  นอกจากนี้การเลือกใช้รูปแบบโฆษณาบน Facebook ยังสามารถเลือกได้ตามเป้าหมายซึ่งสามารถเลือกได้ทั้ง เพิ่มการรับรู้แบรนด์ (Awareness), ช่วยในการตัดสินใจ (Consideration) และ ยอดขายหรือการกระทำใด ๆ ของลูกค้า (Conversion) 
ป้าหมายการโฆษณาผ่าน Facebook Ads

โดยจุดเด่นของการโฆษณากับ Facebook Ads ก็คงหนีไม่พ้นการที่คนหลักหลายล้านคนล้วนแล้วแต่มากองกันอยู่ที่โซเชียลมีเดียแพล็ตฟอร์มนี้ และนอกจากนั้นยังมีอีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจ อย่างฟีเจอร์ที่หลากหลายที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ได้มีส่วนร่วม (Engagement) กับแบรนด์ โดยหากคุณอ่านแล้วเกิดมีความสนใจ อยากจะรู้ว่าโฆษณาออนไลน์มีรูปแบบไหนอีกบ้าง ก็สามารถไปตามอ่านได้จากบทความนี้เลยครับ คลิก ระหว่าง Google Ads กับ Facebook Ads เลือกใช้อะไรดี ?  มาถึงตรงนี้หลายคนก็คงเริ่มจะเข้าใจว่าทำไม Google Ads กับ Facebook Ads จึงเป็นตัวเลือกสำคัญ ซึ่งก็ไม่ง่ายเลยที่จะเลือกแค่อันใดอันหนึ่ง ซึ่งวันนี้ STEPS Academy จึงจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ว่าระหว่าง Google Ads กับ Facebook Ads ช่องทางไหนที่เหมาะกับธุรกิจของเรามากกว่ากัน โดยมีเกณฑ์การเลือกดังนี้ครับ 1. การเลือกตามประเภทของธุรกิจ ประเภทของธุรกิจถือว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยที่เราควรใช้ในการเลือกช่องทางโฆษณาระหว่าง Google Ads กับ Facebook Ads  ซึ่งจะทำให้ง่ายขึ้นในการที่เราจะรู้ว่าธุรกิจของเราเหมาะกับช่องทางอะไร โดยเราสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทนั่นคือ 1.1 ธุรกิจ Business to Business (B2B) ในการเลือกระหว่างช่องทางการโฆษณาระหว่าง Google Ads กับ Facebook Ads สำหรับธุรกิจ B2B หรือ ธุรกิจที่ดำเนินการค้าระหว่างหน่วยธุรกิจกับหน่วยธุรกิจด้วยกัน เราจะต้องดูกันที่ธรรมชาติของธุรกิจประเภทนี้ ที่สินค้าหรือบริการจะต้องมีกระบวนการคิดและตัดสินใจมากกว่าประเภทอื่น ๆ โดยเราสามารถเรียกสินค้าและบริการประเภทนี้ว่า “High Involvement Product” ซึ่งมักจะทำให้ลูกค้าที่สนใจเข้าไปค้นหาข้อมูลอย่างละเอียดใน Google มากกว่า Facebook อยู่เสมอ ดังนั้นถ้าเราเป็นธุรกิจประเภท B2B แล้วต้องเลือกระหว่าง Google Ads กับ Facebook Ads การเลือกใช้ Google Ads ก็จะมีโอกาสในการขายได้มากกว่าครับ 1.2 ธุรกิจ Business to Customer (B2C) ในการเลือกระหว่างช่องทางการโฆษณาระหว่าง Google Ads กับ Facebook Ads สำหรับธุรกิจประเภท B2C หรือธุรกิจที่มีการค้าระหว่างหน่วยธุรกิจกับผู้บริโภค ธุรกิจประเภทนี้มักจะมีสินค้าหรือบริการในรูปแบบ “Low Involvement Product” ซึ่งการตัดสินใจที่ลูกค้ามีจะไม่ต้องผ่านกระบวนการคิดที่มากเท่าแบบแรก ดังนั้นหากจะพูดว่าถ้าเราต้องเลือกระหว่าง Google Ads กับ Facebook Ads การตัดสินใจเลือก Facebook Ads  อาจจะเหมาะสมกว่าก็คงจะไม่ได้ผิดนัก ด้วยเหตุผลที่ลูกค้ามักจะเห็นได้ง่ายประกอบกับหน้าตาที่น่าสนใจดึงดูดลูกค้าระหว่างที่ใช้โซเชียลมีเดียอยู่นั่นเอง  ทั้งนี้สำหรับการเลือกใช้ช่องทางโฆษณาออนไลน์ระหว่าง Google Ads กับ Facebook Ads หากเราเลือกจากประเภทธุรกิจก็สามารถพูดได้ว่ามันไม่มีอะไรที่ตายตัว เพราะแต่ละธุรกิจก็มักจะมีความต่าง ดังนั้นเราจึงต้องมีอีกเกณฑ์ในการเลือกช่องทางการโฆษณาระหว่าง Facebook Ads กับ Google Ads นั่นก็คือ “จุดประสงค์ในการทำการตลาด”  2. การเลือกตามเป้าหมายทางการตลาด นอกจากการเลือกตามประเภทธุรกิจข้างต้น การเลือกระหว่าง Google Ads กับ Facebook Ads ยังมีอีกหนึ่งเกณฑ์ที่หลายคนควรจะหยิบมาใช้ ซึ่งก็คือเป้าหมายในการทำการตลาดโดยจุดประสงค์ของการทำการตลาดออนไลน์สามารถแบ่งออกมาได้ 3 จุดประสงค์ดังนี้ครับ 2.1 เป้าหมายเพื่อเพิ่มยอดขายจากการเก็บข้อมูลผู้ที่สนใจที่มีโอกาสกลายเป็นลูกค้า หากเป้าหมายของการทำการตลาดครั้งนี้ของคุณคือ การเพิ่มยอดขาย (Sales) จากการเก็บมาให้ได้ซึ่งข้อมูลอย่าง ตัวตนของคนที่สนใจ อีเมลที่ใช้ และ เบอร์โทรต่าง ๆ  (Leads) ในการเลือกช่องทางการโฆษณาระหว่าง Google Ads กับ Facebook Ads ผมต้องขอบอกว่าสามารถเลือกได้ทั้ง 2 ช่องทาง เพราะทั้ง Google Ads กับ Facebook Ads ล้วนแล้วแต่มีรูปแบบการโฆษณาที่สามารถช่วยเราหาลูกค้า และ เก็บข้อมูลได้ โดยผมขอยกตัวอย่างรูปแบบของการโฆษณาที่ช่วยในการหาลูกค้าดังต่อไปนี้ครับ

“Lead Ads” คือหนึ่งในรูปแบบของการโฆษณากับ Facebook Ads ที่จะช่วยให้เราสามารถเก็บข้อมูลของผู้ที่สนใจในสินค้าของเราได้ โดยรูปแบบ Lead Ads นี้เมื่อผู้ใช้คลิกแล้วจะมีหน้าต่างเด้งขึ้นมาให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลต่าง ๆ หรือในบางครั้งก็พาผู้ใช้เข้าไปยังเว็บไซต์ของเราเลย
ตัวอย่างการสร้าง Lead Ads
สำหรับ Google Ads ก็มีเจ้า “Lead Campaign” ที่หลาย ๆ คนใช้เรียกในการโฆษณาเพื่อเก็บข้อมูลลูกค้าที่มีความสนใจ ซึ่งคุณสมบัติก็ไม่ได้ด้อยไปกว่า Facebook Ads เลย โดยสิ่งที่น่าสนใจนั่นคือส่วนขยายโฆษณาที่มีการเปิดให้ใช้เมื่อปลายปีที่ผ่านมาอย่าง “Leads Form” ที่เราสามารถเก็บข้อมูลลูกค้าได้จากโฆษณาโดยตรง ทั้งนี้เมื่อเราได้ข้อมูลมา หรือ เมื่อลูกค้าถูกพาเข้าไปในเว็บไซต์ ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสให้เกิดการซื้อ หรือ เพิ่มความแม่นยำในการทำการตลาดครั้งต่อไปได้นั่นเอง
2.2 เป้าหมายเพื่อเพิ่มการรับรู้ หรือ การมีส่วนร่วมกับแบรนด์ ถ้าหากการทำการตลาดครั้งนี้ มีจุดประสงค์เพื่อ เพิ่มการรับรู้ของแบรนด์ (Awareness) หรือ เพิ่มการมีส่วนร่วมกับแบรนด์ (Engagement) แล้วล่ะก็ ในการเลือกระหว่าง Google Ads กับ Facebook Ads นั้น ช่องทางที่ควรใช้ก็คงจะเป็น Facebook Ads ครับ ด้วยความที่ Facebook เป็นโซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้น ๆ ซึ่งถ้าโฆษณาผ่านช่องทางนี้ก็มั่นใจได้ว่าต้องมีคนจำนวนมากที่เห็นแน่นอน นอกจากนั้น Facebook Ads ยังมีรูปแบบการโฆษณาที่สำคัญ ที่ “เอื้อ” ต่อการเพิ่มการรับรู้ และ การมีส่วนร่วมกับแบรนด์ เช่น Engagement Ads และ Page like Ads เป็นต้น ซึ่งด้วยตัวเลือกในการโฆษณาเหล่านี้ จะช่วยให้เพจของแบรนด์เรามียอดไลก์ และ การมีส่วนร่วมที่มากขึ้น

ตัวอย่างการสร้าง Facebook Ads เพื่อเพิ่มการกดถูกใจเพจ
2.3 จุดประสงค์เพื่อการขายสินค้าโดยตรง  แม้ว่าการโฆษณาผ่านทั้ง Google Ads กับ Facebook Ads จะสามารถประยุกต์ใช้เพื่อช่วยให้การขายทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ในจุดนี้ต้องขอบอกเลยว่า Google Ads ดูจะมีภาษีที่มากกว่าครับ เนื่องด้วยความที่ผู้ใช้ที่เห็น Google Ads ส่วนใหญ่มักจะมีความสนใจในสินค้าอยู่เป็นทุนเดิม ทำให้เราสามารถเขียนรายละเอียดของสินค้า หรือ คำพูดเชิงปิดการขายลงไปในโฆษณาได้มากกว่า Facebook Ads ที่ต้องเน้นเรื่องความน่าสนใจ อย่างไรก็ตามอย่างที่ได้เกริ่นไปแล้วว่าทั้ง 2 ช่องทางล้วนมีรูปแบบการโฆษณาที่สามารถปรับใช้เพื่อการขายสินค้าตรง ๆ ได้ ซึ่งผมจะขอยกตัวอย่างรูปแบบการโฆษณาที่เอื้อต่อการขายสินค้าโดยตัวอย่างแรกคือ รูปแบบของโฆษณาของ Google Ads ที่เรียกว่า “Shopping Ads” ซึ่งเปิดโอกาสให้ร้านค้าสามารถโปรโมทสินค้าได้โดยตรงจากในแคตตาล็อก โดย Shopping Ads มีหน้าตาเป็นการ์ดรูปภาพสินค้าพร้อมกับข้อมูลที่บอกราคา และที่มา ซึ่งโฆษณานี้จะแสดงเมื่อมีการค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง สำหรับตัวอย่างถัดมาผมจะขอยกตัวอย่างการโฆษณาจากทาง Facebook Ads กันบ้างที่มีทั้งการโฆษณาแบบ collections ที่เป็นการโฆษณาในรูปแบบแคตตาล็อกสินค้าเช่นเดียวกัน และที่น่าสนใจไปกว่านั้น ปัจจุบัน Facebook ได้มีการประกาศฟีเจอร์ใหม่ ที่จะเปิดให้เราได้ใช้กันในอนาคตนั่นก็คือ  “Shops” ที่มีจุดประสงค์ในการส่งเสริมการขาย ของธุรกิจออนไลน์โดยตรง
เป็นยังไงกันบ้างครับกับการเลือกใช้ระหว่าง Google Ads กับ Facebook Ads ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตามรูปแบบธุรกิจ หรือ เลือกตามเป้าหมาย แต่ถ้าหากคุณยังรู้สึกเสียดาย หรือ เลือกใช้อันใดอันหนึ่งไม่ได้ เราอยากให้คุณลองพิจารณาการเลือกใช้ทั้ง 2 ช่องทางร่วมกัน ซึ่งมีกลยุทธ์ดังนี้ กลยุทธ์การใช้ร่วมกันทั้ง 2 ช่องทาง 1.สร้างแบรนด์ด้วย Facebook แล้ว ปิดการขายด้วย Google สำหรับกลยุทธ์การใช้ร่วมกันระหว่าง Google Ads กับ Facebook Ads กลยุทธ์แรก ตามสถิติแล้ว ผู้ใช้ Facebook ส่วนมากที่เห็น Facebook Ads แล้วเกิดความน่าสนใจ มักจะเปิด Google เพื่อเข้าไปค้นหาเกี่ยวกับแบรนด์นั้น ๆ ซึ่งเป็นเหตุผลที่เราควรใช้กลยุทธ์นี้ เพื่อให้ Facebook เป็นตัวเบิกทาง สร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์  ซึ่งสาเหตุที่สถิติออกมาเช่นนี้ ก็เพราะว่าผู้ที่เห็น Facebook Ads ของเราส่วนมากนั้นล้วนมีความต้องการอยู่ในใจ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นส่วนใหญ่ก็จะขึ้นอยู่กับความแม่นยำของเราในการยิงโฆษณาว่าเรายิงตรงกลุ่มเป้าหมายที่กำลังสนใจสินค้าของเราหรือเปล่า อีกหนึ่งเหตุผลที่ควรทำกลยุทธ์นี้ เพราะมันมีอีกหนึ่งข้อดีนั่นคือ “ช่วยลดค่าใช้จ่าย” เพราะแทนที่ลูกค้าจะคลิกจาก Facebook Ads ของเราโดยตรง แต่ผู้ใช้บางคนจะเลือกเข้าไปค้นหาเว็บไซต์เราใน Google แทน โดยหลักของการทำ กลุยทธ์นี้ นั่นคือการ เลือกใช้ “ชื่อแบรนด์” ของเราในการโฆษณา โดยให้มีหน้าตา และ ข้อความให้คล้ายกันทั้งสองแพล็ตฟอร์ม ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะทำให้ลูกค้าจำแบรนด์ของเราได้และตัดสินใจคลิกเข้าเว็บไซต์ หรือ Google Ads ของเราได้ง่ายนั่นเอง
การตั้งกลุ่มเป้าหมาย สำหรับ Facebook Ads

2. เพิ่มความแม่นยำในการตั้งกลุ่มเป้าหมายด้วยข้อมูลที่ได้ระหว่าง 2 แพล็ตฟอร์ม แทบทุกช่องทางในการโฆษณาออนไลน์ แน่นอนว่าต้องมีการตั้งกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งการที่จะตั้งกลุ่มเป้าหมายให้แม่นยำ เราจำเป็นต้องทำโดยอิงจากข้อมูลที่เรามี ซึ่ง Facebook นั้นก็มีทั้ง “Pixel” และ “Lookalike” ที่จะทำให้เราเก็บข้อมูลลูกค้าได้ รวมทั้งกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่คล้ายกับลูกค้าเดิมขึ้นมา และในส่วนของ Google ก็มีการเก็บข้อมูลที่เราสามารถเรียกว่า “Google Ads Data” ด้วยเช่นเดียวกัน โดยหลักการของกลยุทธ์นี้ก็คือการนำข้อมูลที่ได้มาจาก Google Ads กับ Facebook Ads มาช่วยในการตั้งเป้าหมายโฆษณา เช่น ลูกค้าคือใคร ? เพศไหน ? รายได้เท่าไหร่ ? สนใจอะไร ? ซึ่งนี่ก็จะทำให้มีความแม่นยำที่มากขึ้น เกิดผลลัพธ์ที่ดี และมีความคุ้มค่านั่นเอง
ตัวอย่างการตั้งค่า Google Ads
สรุป ไม่ว่าจะเป็น Facebook Ads หรือ Google Ads ทั้ง 2 ช่องทางล้วนแล้วแต่มีจุดเด่นที่ต่างกันออกไป ซึ่งเกณฑ์ในการเลือกที่ควรหยิบมาใช้เพื่อเลือกระหว่าง Google Ads กับ Facebook Ads คือรูปแบบของธุรกิจ และ จุดประสงค์ของการทำการตลาด โดยสามารถแบ่งได้ดังนี้ ถ้าหากเราเป็นธุรกิจ B2B ตัวเลือกที่ดีคือ Google Ads ถ้าหากเราเป็นธุรกิจ B2C ตัวเลือกที่ดีก็คือ Facebook Ads  ถ้าหากจุดประสงค์ของเราคือการเพิ่มยอดขาย หรือ การเก็บข้อมูลที่ต้องการ เราสามารถเลือกใช้ได้ทั้ง 2 ช่องทาง ถ้าหากจุดประสงค์ของเราคือการเพิ่มการรับรู้ หรือ การมีส่วนร่วมแบรนด์ ช่องทางที่เหมาะสมคือ Facebook Ads  ถ้าหากจุดประสงค์ของเราคือการขายสินค้าโดยตรง ช่องทางที่เหมาะสมในปัจจุบันคือ Google Ads แต่สุดท้ายนี้ระหว่าง Google Ads กับ Facebook Ads ไม่ว่าเราจะเลือกช่องทางไหน  หรือ เลือกใช้เกณฑ์อะไร สิ่งสำคัญที่เราต้องจำเอาไว้นั่นคือ ธุรกิจแต่ละธุรกิจนั้นมีความต่าง ซึ่งถ้าเราอยากโฆษณาให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องเริ่มจากความเข้าใจ และหากคุณเป็นหนึ่งในผู้บริหารหรือผู้จัดการ ที่ต้องการสื่อสารกับทีมให้เข้าใจ ให้สามารถซื้อโฆษณาออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ วันนี้ STEPS Academy เรามีหลักสูตร Ads Optimization 101 (For Management) ที่จะเปิดโอกาสให้คุณได้เรียนรู้การซื้อโฆษณาออนไลน์ในทุก ๆ ด้าน ทั้ง แนวทาง การปฏิบัติการ การตั้งงบประมาณ และการวัดผล

อ่านเพิ่มเติมได้ที่: https://stepstraining.co/strategy/google-ads-vs-facebook-ads-for-business

ที่มา 
https://adespresso.com/blog/lead-campaign-on-google-ads/ 
https://support.google.com/google-ads/answer/9594220 
https://searchengineland.com/3-reasons-love-google-display-network-really-220673

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การตลาดออนไลน์ การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย ประเภทของสื่อออนไลน์

 การตลาดออนไลน์ (Online Marketing) คือ การทำการตลาดในสื่อออนไลน์ เช่น โฆษณา Facebook, โฆษณา Google, โฆษณา Youtube, โฆษณา Instagram ฯลฯ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อทำให้สินค้าของเราเป็นที่รู้จักเพิ่มมากขึ้น โดยใช้วิธีต่างๆ ในการโฆษณาเว็บไซต์ หรือโฆษณาขายสินค้าที่จะนำสินค้าของเราไปเผยแพร่ตามสื่อออนไลน์ เพื่อให้ผู้อื่นได้รับรู้  https://www.adgroupszone.com/

📣6 ขั้นตอน ลงโฆษณาผ่าน LINE Ads Platform

  📣6 ขั้นตอน ลงโฆษณาผ่าน LINE Ads Platform ปัจจุบันช่องทางการตลาดออนไลน์เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ การลงโฆษณาบน LINE ก็เป็นอีก application ที่คนนิยมให้ความสนใจมาก โดยโฆษณาผ่าน LINE Ads Platform เพียงทำได้ง่าย ๆ แค่ 6 ขั้นตอน 1. เข้าไปที่ admanager.line.biz เลือกเข้าสู่ระบบด้วยบัญชี LINE ส่วนตัว หรือบัญชีธุรกิจหากต้องการใช้อีเมลกลางของบริษัท 2. สร้างบัญชีโฆษณา 1 บัญชี LINE สามารถมีได้หลายบัญชีผู้ใช้โฆษณา โดย 1 บัญชีโฆษณาจะเชื่อมกับ 1 LINE OA เท่านั้น 3. เริ่มลงโฆษณา โดยเลือก ‘สร้างแคมเปญ’ เลือกวัตถุประสงค์แคมเปญที่เหมาะสมพร้อมระบุงบประมาณและระยะเวลาแคมเปญ 4. สร้าง ‘กลุ่มโฆษณา’ หรือกลุ่มเป้าหมาย โดยเลือกเพศ อายุ ความสนใจ หรือสร้างกลุ่มเป้าหมายได้เอง ด้วยข้อมูลของลูกค้าที่คุณมีก็ได้ เช่น กลุ่มเป้าหมายจาก LINE OA, เบอร์โทร หรืออีเมล 5. กำหนดราคาเสนอและงบประมาณรายวัน ระบุราคาประมูลเพื่อโฆษณาขึ้นไปยังที่ต่างๆ บน App LINE เช่น LINE TODAY, LINE TIMELINE, LINE TV เป็นต้น 6. ใส่รูปภาพและข้อความเพื่อ ‘สร้างโฆษณา’ สามารถใช้เป็นภาพเดี่ยว, ภาพสไลด์ หรือวิดีโอ ที่น่าสนใจดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้เลย...

ขยายธุรกิจของคุณด้วย โฆษณา เลย

 ขยายธุรกิจของคุณด้วย โฆษณา เลย  เข้าถึงลูกค้าเป้าหมายและกระตุ้นให้เกิดผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็วด้วยตัวจัดการ โฆษณา บนเว็บไซต์ ด้วยฐานผู้ชมที่กว้างขวางของเราและเครื่องมือที่ใช้งานง่าย ทุกคนจึงสามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการตลาดได้