ในการทำการตลาดออนไลน์ มีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กับการทำคอนเทนต์ ซึ่งก็คือการโฆษณา ซึ่งเราก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เราขาดไปไม่ได้เลย แล้วเราควรทำอย่างไร ? ถ้าเกิดเราเริ่มอยากใช้การโฆษณาออนไลน์ให้เป็นส่วนหนึ่งของการทำการตลาด สิ่งหนึ่งที่สำคัญมาก ๆ ที่เราควรจะตัดสินใจ นั่นคือการเลือกใช้แต่ละช่องทาง ซึ่งก็คงหนีไม่พ้นการต้องเลือกระหว่าง 2 ช่องทางการโฆษณาออนไลน์ที่สำคัญ อย่าง Facebook Ads กับ Google Ads
แล้วเราจะเลือกอย่างไร ? มีวิธีที่จะทำให้เรารู้ไหมว่าช่องทางไหนคือช่องทางที่เหมาะสม ? วันนี้เรามีวิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจ โดยจะเป็นอย่างไรเรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ
ทำไมต้องโฆษณาออนไลน์ ? ก็อย่างที่รู้กันว่า ณ ปัจจุบันโทรศัพท์มือถือ หรือ อินเทอร์เน็ตนับเป็นปัจจัยที่ 5 ของเราเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องตัดสินใจ เลือกซื้ออะไรในชีวิตประจำวัน ซึ่งถ้าหากเราจะหาข้อมูลกันก็คงจะหนีไม่พ้นการหยิบมือถือขึ้นมาเปิด Google ใช่ไหมครับ แค่นั้นยังไม่พอ เพราะในหลาย ๆ เวลาไม่ว่าจะเป็นช่วงระหว่างรอรถไฟฟ้า หรือ ช่วงเวลาที่อยากจะอัปเดตข่าวที่น่าสนใจ เราก็ต้องเปิดโซเชียลมีเดียขึ้นมาเล่นกันแทบจะทุกคนเลยทีเดียว ซึ่งจากสถิติในประเทศไทยระบุว่ามีผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียมากถึง 52 ล้านคน ซึ่งถ้าเราเป็นธุรกิจที่คิดจะทำการตลาดออนไลน์ให้ได้ผล ก็คงจะหนีไม่พ้นการโฆษณาผ่านช่องทางเหล่านี้แน่นอน หรือหากคุณอ่านแล้วยังไม่มั่นใจ ทาง Adespresso ก็ได้ทำการสรุปมาให้ถึงประโยชน์ ของโฆษณาออนไลน์ดังนี้ครับ ช่วยสร้างการรับรู้ ให้แบรนด์ของเราเป็นที่รู้จักมากขึ้น ช่วยกระจายข่าวสาร และการเผยแพร่ข้อมูลที่ทั่วถึง ช่วยกระตุ้นพฤติกรรมการซื้อของลูกค้า ช่วยตอกย้ำความต้องการของลูกค้า กรณีที่เขามีความสนใจ ช่วยเพิ่มรายได้ และยอดขายจากการซื้อซ้ำ ช่วยขยายช่องทางในการเข้าถึงสินค้า และ บริการของธุรกิจ เห็นอย่างนี้แล้วก็คงเข้าใจว่าทำไมการโฆษณาออนไลน์จึงสำคัญ ซึ่งสำหรับทั้งสองช่องทางอย่าง Facebook Ads กับ Google Ads นั้นก็มีข้อดีที่ต่างกันออกไป และเพื่อเป็นการช่วยคุณตัดสินใจ เราไปเริ่มจากการทำความเข้าใจทั้ง 2 ช่องทางกันดีกว่าครับ ทำความเข้าใจกับ “Google Ads” เบื้องต้น
คงไม่ต้องสงสัย หรือ มีข้อกังขาใด ๆ กับความยิ่งใหญ่ในแวดวง Search Engine อีกแล้วสำหรับแพล็ตฟอร์มการค้นหา Google นี้ ที่มียอดค้นหามากกว่า 63,000 ต่อวินาที และมีการครองตลาดไปกว่า 75 เปอร์เซ็นต์ (สถิติจาก Search Engine Land) และด้วยขนาดที่ใหญ่ และ จำนวนผู้ใช้ที่มากขนาดนี้ ก็คงไม่แปลกใจอะไรที่บริษัทจะมีช่องทางในการโฆษณาสำหรับร้านค้า หรือ ธุรกิจ ที่เรียกว่า “Google Ads” โฆษณาของ Google Ads นั้นก็มีหลากหลายรูปแบบ ที่เรียกว่าแทบจะเลือกกันไม่ถูกเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น การโฆษณาแบบ “SEM” หรือ ที่เรียกเต็ม ๆ ว่า “Search Engine Marketing” ซึ่งเป็นรูปแบบของโฆษณาที่อยู่ในหน้าการค้นหาโดยมีหน้าตาเป็นตัวอักษร ซึ่งจุดเด่นของมันก็คือเป็นการโฆษณาที่แสดงตามคียเวิร์ดที่ผู้ใช้ค้นหา ซึ่งก็แน่นอนว่าโฆษณาของเราต้องเกี่ยวกับสิ่งที่เขากำลังสนใจ
ตัวอย่าง SEM ของ Google Ads |
ที่มา Wordstream.com
นอกจากการโฆษณาแบบ SEM การโฆษณาอีกรูปแบบที่น่าสนใจก็คือ “GDN” หรือที่เรียกเต็ม ๆ ว่า “Google Display Network” ซึ่งโฆษณารูปแบบนี้จะมีหน้าตาคล้ายป้ายแบนเนอร์ หรือ กล่องโฆษณา ที่มักจะปรากฏขึ้นมาระหว่างที่เรากำลังเข้าไปชมเว็บไซต์ต่าง ๆ ซึ่งก็สามารถกำหนดเป้าหมายได้ว่าจะให้ใครเป็นผู้พบเห็นโฆษณาเราบ้าง โดยมีตัวเลือกให้กำหนดได้หลายอย่าง เช่น คีย์เวิร์ดที่่มีการค้นหา, หัวข้อ และคนที่เคยเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์เรา เป็นต้น ดังนั้นหากจะพูดถึงการปิดการขาย ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการโฆษณากับ Google Ads นั้นทำได้ดีเลยครับ เพราะด้วยการแสดงโฆษณาที่ไม่ได้อาศัยแค่การพึ่งพาแค่จำนวนเพียงอย่างเดียวแต่ยังอิงกับการค้นหาของผู้ใช้ด้วยเช่นกันตัวอย่าง GDN ของ Google Ads |
ทำความเข้าใจกับ “Facebook Ads” เบื้องต้น
ถ้าในวงการ Search Engine มี Google ที่เปรียบเสมือนตัวจริงในการเป็นผู้ครองตลาด ในวงการโซเชียลมีเดียก็มีแพล็ตฟอร์มที่เราคุ้นเคยกันอยู่แล้วกับ “Facebook” ที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน โดยตัว Facebook นั้นก็มียอดผู้เข้าใช้ถึง 2.6 พันล้านบัญชี (ที่ยังคงมีการเข้าใช้งานปกติ) หรือ ถ้าหากนับเป็นจำนวนผู้ใช้ต่อวัน Facebook ก็มีผู้เข้าใช้ถึง 1.73 พันล้านคน ดังนั้นครับ บริษัทก็เลยมีช่องทางการให้บริษัทต่าง ๆ ได้ทำการโฆษณากับ “Facebook Ads” ซึ่งเป็นช่องทางที่มีจุดเด่นที่ความหลากหลายเช่นเดียวกันกับ Google Ads เพราะสามารถเลือกรูปแบบได้ทั้ง รูปภาพ วิดีโอ Carousel (รูปแบบการโฆษณาแบบเลื่อนดูได้) และ อื่น ๆ นอกจากนี้การเลือกใช้รูปแบบโฆษณาบน Facebook ยังสามารถเลือกได้ตามเป้าหมายซึ่งสามารถเลือกได้ทั้ง เพิ่มการรับรู้แบรนด์ (Awareness), ช่วยในการตัดสินใจ (Consideration) และ ยอดขายหรือการกระทำใด ๆ ของลูกค้า (Conversion)
ป้าหมายการโฆษณาผ่าน Facebook Ads |
โดยจุดเด่นของการโฆษณากับ Facebook Ads ก็คงหนีไม่พ้นการที่คนหลักหลายล้านคนล้วนแล้วแต่มากองกันอยู่ที่โซเชียลมีเดียแพล็ตฟอร์มนี้ และนอกจากนั้นยังมีอีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจ อย่างฟีเจอร์ที่หลากหลายที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้ได้มีส่วนร่วม (Engagement) กับแบรนด์ โดยหากคุณอ่านแล้วเกิดมีความสนใจ อยากจะรู้ว่าโฆษณาออนไลน์มีรูปแบบไหนอีกบ้าง ก็สามารถไปตามอ่านได้จากบทความนี้เลยครับ คลิก ระหว่าง Google Ads กับ Facebook Ads เลือกใช้อะไรดี ? มาถึงตรงนี้หลายคนก็คงเริ่มจะเข้าใจว่าทำไม Google Ads กับ Facebook Ads จึงเป็นตัวเลือกสำคัญ ซึ่งก็ไม่ง่ายเลยที่จะเลือกแค่อันใดอันหนึ่ง ซึ่งวันนี้ STEPS Academy จึงจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ว่าระหว่าง Google Ads กับ Facebook Ads ช่องทางไหนที่เหมาะกับธุรกิจของเรามากกว่ากัน โดยมีเกณฑ์การเลือกดังนี้ครับ 1. การเลือกตามประเภทของธุรกิจ ประเภทของธุรกิจถือว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยที่เราควรใช้ในการเลือกช่องทางโฆษณาระหว่าง Google Ads กับ Facebook Ads ซึ่งจะทำให้ง่ายขึ้นในการที่เราจะรู้ว่าธุรกิจของเราเหมาะกับช่องทางอะไร โดยเราสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทนั่นคือ 1.1 ธุรกิจ Business to Business (B2B) ในการเลือกระหว่างช่องทางการโฆษณาระหว่าง Google Ads กับ Facebook Ads สำหรับธุรกิจ B2B หรือ ธุรกิจที่ดำเนินการค้าระหว่างหน่วยธุรกิจกับหน่วยธุรกิจด้วยกัน เราจะต้องดูกันที่ธรรมชาติของธุรกิจประเภทนี้ ที่สินค้าหรือบริการจะต้องมีกระบวนการคิดและตัดสินใจมากกว่าประเภทอื่น ๆ โดยเราสามารถเรียกสินค้าและบริการประเภทนี้ว่า “High Involvement Product” ซึ่งมักจะทำให้ลูกค้าที่สนใจเข้าไปค้นหาข้อมูลอย่างละเอียดใน Google มากกว่า Facebook อยู่เสมอ ดังนั้นถ้าเราเป็นธุรกิจประเภท B2B แล้วต้องเลือกระหว่าง Google Ads กับ Facebook Ads การเลือกใช้ Google Ads ก็จะมีโอกาสในการขายได้มากกว่าครับ 1.2 ธุรกิจ Business to Customer (B2C) ในการเลือกระหว่างช่องทางการโฆษณาระหว่าง Google Ads กับ Facebook Ads สำหรับธุรกิจประเภท B2C หรือธุรกิจที่มีการค้าระหว่างหน่วยธุรกิจกับผู้บริโภค ธุรกิจประเภทนี้มักจะมีสินค้าหรือบริการในรูปแบบ “Low Involvement Product” ซึ่งการตัดสินใจที่ลูกค้ามีจะไม่ต้องผ่านกระบวนการคิดที่มากเท่าแบบแรก ดังนั้นหากจะพูดว่าถ้าเราต้องเลือกระหว่าง Google Ads กับ Facebook Ads การตัดสินใจเลือก Facebook Ads อาจจะเหมาะสมกว่าก็คงจะไม่ได้ผิดนัก ด้วยเหตุผลที่ลูกค้ามักจะเห็นได้ง่ายประกอบกับหน้าตาที่น่าสนใจดึงดูดลูกค้าระหว่างที่ใช้โซเชียลมีเดียอยู่นั่นเอง ทั้งนี้สำหรับการเลือกใช้ช่องทางโฆษณาออนไลน์ระหว่าง Google Ads กับ Facebook Ads หากเราเลือกจากประเภทธุรกิจก็สามารถพูดได้ว่ามันไม่มีอะไรที่ตายตัว เพราะแต่ละธุรกิจก็มักจะมีความต่าง ดังนั้นเราจึงต้องมีอีกเกณฑ์ในการเลือกช่องทางการโฆษณาระหว่าง Facebook Ads กับ Google Ads นั่นก็คือ “จุดประสงค์ในการทำการตลาด” 2. การเลือกตามเป้าหมายทางการตลาด นอกจากการเลือกตามประเภทธุรกิจข้างต้น การเลือกระหว่าง Google Ads กับ Facebook Ads ยังมีอีกหนึ่งเกณฑ์ที่หลายคนควรจะหยิบมาใช้ ซึ่งก็คือเป้าหมายในการทำการตลาดโดยจุดประสงค์ของการทำการตลาดออนไลน์สามารถแบ่งออกมาได้ 3 จุดประสงค์ดังนี้ครับ 2.1 เป้าหมายเพื่อเพิ่มยอดขายจากการเก็บข้อมูลผู้ที่สนใจที่มีโอกาสกลายเป็นลูกค้า หากเป้าหมายของการทำการตลาดครั้งนี้ของคุณคือ การเพิ่มยอดขาย (Sales) จากการเก็บมาให้ได้ซึ่งข้อมูลอย่าง ตัวตนของคนที่สนใจ อีเมลที่ใช้ และ เบอร์โทรต่าง ๆ (Leads) ในการเลือกช่องทางการโฆษณาระหว่าง Google Ads กับ Facebook Ads ผมต้องขอบอกว่าสามารถเลือกได้ทั้ง 2 ช่องทาง เพราะทั้ง Google Ads กับ Facebook Ads ล้วนแล้วแต่มีรูปแบบการโฆษณาที่สามารถช่วยเราหาลูกค้า และ เก็บข้อมูลได้ โดยผมขอยกตัวอย่างรูปแบบของการโฆษณาที่ช่วยในการหาลูกค้าดังต่อไปนี้ครับ
“Lead Ads” คือหนึ่งในรูปแบบของการโฆษณากับ Facebook Ads ที่จะช่วยให้เราสามารถเก็บข้อมูลของผู้ที่สนใจในสินค้าของเราได้ โดยรูปแบบ Lead Ads นี้เมื่อผู้ใช้คลิกแล้วจะมีหน้าต่างเด้งขึ้นมาให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลต่าง ๆ หรือในบางครั้งก็พาผู้ใช้เข้าไปยังเว็บไซต์ของเราเลย
ตัวอย่างการสร้าง Lead Ads |
ตัวอย่างการสร้าง Facebook Ads เพื่อเพิ่มการกดถูกใจเพจ |
การตั้งกลุ่มเป้าหมาย สำหรับ Facebook Ads |
2. เพิ่มความแม่นยำในการตั้งกลุ่มเป้าหมายด้วยข้อมูลที่ได้ระหว่าง 2 แพล็ตฟอร์ม แทบทุกช่องทางในการโฆษณาออนไลน์ แน่นอนว่าต้องมีการตั้งกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งการที่จะตั้งกลุ่มเป้าหมายให้แม่นยำ เราจำเป็นต้องทำโดยอิงจากข้อมูลที่เรามี ซึ่ง Facebook นั้นก็มีทั้ง “Pixel” และ “Lookalike” ที่จะทำให้เราเก็บข้อมูลลูกค้าได้ รวมทั้งกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่คล้ายกับลูกค้าเดิมขึ้นมา และในส่วนของ Google ก็มีการเก็บข้อมูลที่เราสามารถเรียกว่า “Google Ads Data” ด้วยเช่นเดียวกัน โดยหลักการของกลยุทธ์นี้ก็คือการนำข้อมูลที่ได้มาจาก Google Ads กับ Facebook Ads มาช่วยในการตั้งเป้าหมายโฆษณา เช่น ลูกค้าคือใคร ? เพศไหน ? รายได้เท่าไหร่ ? สนใจอะไร ? ซึ่งนี่ก็จะทำให้มีความแม่นยำที่มากขึ้น เกิดผลลัพธ์ที่ดี และมีความคุ้มค่านั่นเอง
ตัวอย่างการตั้งค่า Google Ads |
อ่านเพิ่มเติมได้ที่: https://stepstraining.co/strategy/google-ads-vs-facebook-ads-for-business
ที่มา
https://adespresso.com/blog/lead-campaign-on-google-ads/
https://support.google.com/google-ads/answer/9594220
https://searchengineland.com/3-reasons-love-google-display-network-really-220673
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น