ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ทำการตลาดจ้างทำ หรือ ทำเองดีกว่ากัน

แม้ว่าโลกออนไลน์กำลังเป็นที่สนใจหลายปีที่ผ่านมานี้ และผู้เขียนเชื่อว่ายังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยเลยที่ยังคง อยากลงเล่นในโลกใบใหญ่แห่งนี้ คนหลายกลุ่มยังคงใช้เวลาในการเรียนรู้ ปรับตัว ให้ทันยุคสมัย เพราะมันไม่เหมือนโลกเก่าที่เขาเคยเจอมา
หลายคนเห็นช่องทางการทำธุรกิจตรงนี้ ไม่ว่าจะเป็นการรับทำการตลาดออนไลน์ สร้างแบรนด์ ขณะเดียวกันก็ยังมีคนรุ่นเก๋าที่เคยทำออฟไลน์ ก็ผันตัวมาเล่นในพาร์ทของออนไลน์เช่นกัน ทั้งเราและเขามักเรียกตัวเองกันว่า เอเจนซี่โฆษณา(Agency)
“ทำเอง” หรือ “จ้างทำ” รู้เหรอยังคุณอยู่จุดไหน


จุดเด่นของการทำเอง


  • คุณรู้เรื่องของตัวแบรนด์และสินค้าตัวเองมากที่สุด

ไม่มีใครรู้จักสิ่งที่คุณกำลังสร้างเท่ากับตัวคุณหรอกครับ เหมือนคุณอยู่บ้านมาสิบปี คุณหลับตายังรู้ใช่ไหมว่าสวิตส์ไฟอยู่ตรงไหนของบ้าน อารมณ์นั้นแหละครับ หากคุณมีความสามารถพอสมควร ก็สามารถจัดการกับมันได้ครับ

  • มีอินเนอร์ และ inside มากกว่า

การเป็นเจ้าของในความหมายของคุณ คือ บางครั้งคุณอาจพร้อมยอมเป็น super man เพื่อให้ธุรกิจคุณประสบความสำเร็จไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ตาม มันจึงสะท้อนตัวตนของคุณได้ดีมากๆ ซึ่งหมายถึงความคลั่งและทุ่มเทในหน้าที่ด้วย

  • ค่าใช้จ่ายไม่แพง

เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าการพยายามทำสิ่งใดๆ ด้วยตัวเองนั้น ราคามันแสนถูก!! แต่…อย่าลืมนะครับว่าทุกสิ่งที่คุณเสียไป เวลา ความคิด ความสามารถนั้น มีราคา แต่โดยรวมแล้ว ถูกกว่าจ้าง Agency แน่นอนครับ


จุดด้อยของการทำเอง


  • ความเชี่ยวชาญ

ผมหมายความอย่างนั้นครับ คุณไม่สามารถเก่งและเชี่ยวชาญได้ทุกด้าน ดั่งพระพุทธเจ้าว่า ไม่ว่าคุณจะเก่งแค่ไหน ความรู้คุณเท่าแค่ใบไม้ใบเดียวของต้นไม้ทั้งต้น บางทีคุณอาจพบว่า ผลลัพท์มันไม่ได้เป็นอย่างที่คาดหวังเอาไว้

  • ความไม่แน่นอน

ข้อนี้ผมกำลังหมายถึงหากคุณกำลังจะปั้นทีมงานด้วยตัวเอง แต่คุณต้องแบกภาระแน่ๆ คือ ค่าจ้างคนที่มีความสามารถ ในแต่ละด้านมารวมกัน จูนการทำงาน เพื่อสร้างทีมที่ดีสำหรับ ธุรกิจของคุณ ซึ่งมันไม่ง่ายเลย หากมีคนสำคัญหรือทีมที่ดีลาออกไป


จุดเด่นของการจ้างทำ


  • ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน

การที่คุณจ้างทีมหรือเอเจนซี่นั้น เปรียบง่ายๆ คือ เหมือนคุณจ้าง Avengers มาปกป้องโลกธุรกิจของครับ เขาจะมีทีมงานที่มีการคัดสรรมาอย่างดีในแต่ละตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็น นักออกแบบกราฟิก นักโฆษณา นักการตลาด Planner, Stategy, Social Media, SEO, Progammer, etc..
ในกรณีที่ว่าขอแอบกระซิบว่า คุณควรเลือกเอเจนซี่ที่เก่งกาจ และมีประสบการณ์จริงๆ หากคุณต้องการผลลัพท์ที่ชัดเจน แต่บางที ก็อาจขัดกับเงินในกระเป๋าคุณ ใช่ครับ!! มันคือการลงทุน ไม่มีคนเก่งที่ไหน อยากทำงานให้คุณฟรีๆ หรือได้เงินน้อยกว่า ความสามารถของเขาหรอกครับ นี่คือเรื่องจริง หรือคุณงบน้อย ก็อาจใช้เอเจนซี่เล็กๆ หน้าใหม่ๆ ก็พอไหวครับ

  • ความเสี่ยงต่ำ

เปรียบเทียบกับการทำทีมเอง คุณมีความเสี่ยงต่ำมากเนื่องจาก ค่าจ้างต่อโปรเจ็ค คุณไม่จำเป็นต้องจ่ายให้กับทุกๆ คนเหมือนอย่างในทีมที่คุณสร้างเอง ยิ่งถ้าคุณจ้างคนมาผิด ก็เสียไปทั้งเวลาและเงิน ในกรณีเดียวกันถ้าคุณจ้างเอเจนซี่ผิด ก็คิดจนตัวตายเช่นกันครับ เราอยู่ในยุคที่ต้องคัดสรรคุณภาพจริงๆ ครับ

  • เวลา

เวลาเป็นสิ่งเหนืออื่นใดที่คุณจะได้รับ ทำให้คุณมีเวลาไปบริหารงานส่วนอื่นๆ คุณสามารถโฟกัสลูกค้าของคุณได้เต็มที่ “เวลา” จึงเป็นสิ่งที่คุณได้กลับมาและมันมีค่ามากเหลือเกินที่คุณจะนำไปทำประโยชน์กับธุรกิจคุณเองได้สูงสุด


จุดด้อยของการจ้างทำ


  • ราคาสูงกว่า

เอเจนซี่เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ที่มาเป็น “สมอง” และ “มือ” ซึ่งเขามาทำแทนคุณได้ทั้งหมดและลงมือทำจริง ต้องแลกมาด้วยราคาที่สูงกว่า

  • ความเชี่ยวชาญในธุรกิจแต่ละอุตสาหกรรม

แม้ว่าเอเจนซี่จะเชี่ยวชาญด้านการตลาดออนไลน์ แต่พวกเขาไม่ได้เก่งในทุกอุตสาหกรรม เพราะฉะนั้นคุณต้องจำเป็นนะครับ ที่ต้องรู้ว่า Experience ของเขามีมากแค่ไหน และตรงกับกลุ่มสินค้าที่คุณกำลังมองหาอยู่ไหม ผลงานเป็นตัวการันตีเหล่าเอเจนซี่ได้ดีครับ

  • ต้องดูแลลูกค้าหลาย Account

แน่นอนว่า เขาไม่ได้ทำงานให้คุณคนเดียว แม้คุณอาจจะคิดว่าคุณจ่ายเงินแล้วก็ตาม คุณอาจไม่สามารถคาดหวังได้ว่าเขาจะบริการคุณได้เป็นอย่างดีเพียงรายเดียว
ข้อยกเว้น : ถ้าคุณมีงบประมาณการตลาดมากพอ ในบางกรณีเอเจนซี่สามารถสละทีมเพื่อมาให้บริการคุณได้แบบ fullteam ก็มีนะครับ ซึ่งผมก็เคยเจอเคสแบบนี้มาไม่น้อย


สรุป

สุดท้ายอยากจะแนะนำก่อนที่คุณจะตัดสินใจนะครับว่าจะเลือกแบบไหน

  • คุณต้องโฟกัสธุรกิจคุณก่อนว่า หัวใจสำคัญของธุรกิจของคุณคืออะไร ใช่การทำตลาดหรือไม่ ในบางธุรกิจไม่ต้องการ นักการตลาดก็มีครับ

  • ถามตัวเองว่าทำเองได้ดีไหม ผลลัพท์ออกมาดีตามที่ตั้งเป้าหมายไว้หรือไม่ ถ้าคุณเชี่ยวชาญพอ ทำเองเลยครับ แต่ถ้าไม่แน่ใจ คุณสามารถจ้างผู้เชี่ยวชาญมาปรึกษาได้เช่นกัน

  • ผลตอบแทนจากการลงทุน คุณอาจเปรียบเทียบการทำเอง กับจ้างทำ แบบไหนให้ผลลัพท์ทางธุรกิจกับคุณมากกว่า (Return on Investment) : ROI สิ่งนี้เป็นตัวชี้วัดได้ชัดเจนครับ หากวันนี้คุณเริ่มทำธุรกิจหรือทำการตลาดแล้ว!!

ฝากเพื่อนๆ แชร์ หากคิดว่ามีประโยชน์ สิ่งใดผิดพลาดสามารถติชมกันได้เสมอครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

วิธีเขียนคำโฆษณาให้ดึงดูดผู้บริโภค

1.สร้างอารมณ์ร่วม ลองคิดดู หากบทความ โฆษณา นั้นราบเรียบจืดชืดแล้วใครจะอยากอ่านแล้วใครจะอินจนอยากซื้อสินค้าของคุณไปใช้กันล่ะ บางทีการสร้างอารมณ์ให้ผู้อ่านหรือผู้พบเห็นมีความรู้สึกร่วมไปกับบทความนั้นเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง และมีความเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จสูง เพราะถึงคนส่วนใหญ่จะใช้ตรรกะและเหตุผลต่างๆ ในการตัดสินใจก็เถอะ แต่หากคุณมีอารมณ์อินกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปแล้ว การใช้ตรรกะก็จะน้อยลงแล้วอารมณ์ร่วมก็จะมีมากกว่า โดยมีการวิจัยหลายสำนักชี้ให้เห็นว่า การตอบสนองทางอารมณ์จะมีผลต่ออการตัดสินใจอย่างมาก โดยเฉพาะ Print Ads ที่ในความจริงแล้วมีแนวโน้มที่จะดึงดูดผู้บริโภคได้ดีกว่่า โดย 3 สิ่งนี้อาจจะช่วยคุณได้ 1.1 อารมณ์ของลูกค้า คุณต้องดูก่อนว่าแบรนด์ของคุณจะต้องการสร้างอารมณ์ไปในทิศทางไหน จนกลุ่มเป้าหมายจะสามารถอินไปกับมันได้ ในปัจจุบัน TVC ทั้งหลายพยายามที่จะเล่นกับอารมณ์ความรู้สึกของผู้บริโภค โดยส่วนใหญ่จะเป็นความเชื่อใจ ความกลัว ความรักเป็นต้น ลองดูว่าสินค้าของคุณจะไปในทิศทางไหนได้บ้าง 1.2 Headline หัวข้อหรือพาดหัวมักจะเป็นสิ่งแรกๆ ที่คนทั่วไปเห็นเป็นอันดับแรก เพราะฉะนั้นคุณ...

Facebook เปลี่ยนวิธียิงโฆษณายกแผง ทุ่มเงินไปยอดขายไม่มา ถ้าคุณไม่มีสิ่งเหล่านี้

“… WE’RE CONSTANTLY EVOLVING OUR AD PLATFORM, WHICH MEANS THAT OUR METRICS MUST EVOLVE …” ด้านบน คือ ข้อความเกริ่นนำในประกาศการเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานของเครื่องมือโฆษณา Facebook หรือ Facebook Ad ครั้งล่าสุดผ่านทาง  เว็บไซต์ Facebook Business  เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2562 Facebook มีการเลือกใช้คำศัพท์ในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อย่างน่าสนใจ เพราะ Software developer โดยทั่วไปอาจใช้คำว่า Develop หรือ Improve เมื่อจะมีการพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงระบบ แต่ Facebook ใช้คำว่า  Evolve  หรือ  การวิวัฒนาการ  ไปอีกขั้น — CEOblog จะพาไปวิเคราะห์ว่า ‘ การ Evolve ในครั้งนี้ ’ อาจส่งผลกระทบกับ Advertiser อย่างไรบ้าง ถอน 1 เมทริกเก่า เพิ่ม 3 เมทริกใหม่ ถอน 1 เมทริกเก่า ได้แก่: Facebook แจ้งว่าจะทำการถอน เมทริก (Metric) เก่าออกจำนวน 1 รายการ ได้แก่  Relevance Score เมทริกที่ใช้บอกว่า โฆษณาของ Advertiser ตรงกลุ่มเป้าหมายมากแค่ไหน โดยมีหลักการวัดผลคร่าว ๆ จาก การตอบสนองของ Target audience ที่เห็นโฆษณา เช่น Emotion เป็นอย่างไร Like, Love หรือ Angry มีการ Share หร...

อ่านให้รู้ กับโฆษณายูทูป

เรียนรู้ โฆษณายูทูป (Youtube) แต่ละแบบ เว็บที่ให้บริการแลกเปลี่ยนความรู้ โฆษณาบนยูทูป (Youtube)เว็บไซต์ที่ให้บริการแลกเปลี่ยนคลิปวิดีโอระหว่างผู้ใช้ได้ฟรี ทำให้ ยูทูป (Youtube) เป็นเว็บไซต์ที่ยอดนิยมสำหรับทุกเพศทุกวัยเลย และ ยูทูป (Youtube) ยังเป็นเว็บไซต์ที่ให้ทั้งข้อมูลข่าวสาร ความรู้ต่างๆ รวมไปถึงความบันเทิง แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ใครหลายๆคนอาจจะรู้สึกขัดตาขัดใจเวลาดูคลิปวิดีโอบน ยูทูป (Youtube) นั้นก็คือ….. โฆษณายูทูป (Youtube ! ) แต่ในทางกลับนักการตลาด และผู้คนสายโฆษณานั้น ไม่รู้สึกขัดใจกับ โฆษณายูทูป (Youtube) เลย แต่กลับชื่นชอบ เพราะจะได้มีช่องทางในการลงสื่อโฆษณาเพิ่มขึ้น และยังสามารถเข้าถึงผู้คนเป็นจำนวนมากส่วนโฆษณาบน Youtube นั้นจะมีอะไรบ้าง นักการตลาด และผู้คนสายโฆษณาคงอยากรู้ไม่น้อย เรามาไขข้อข้องใจกันเลยดีกว่า 1. Masthead คือ โฆษณาที่สามารถเห็นได้ในหน้าแรกของ ยูทูป (Youtube) 2. Display Ads (Banners) คือ โฆษณาแบบแบนเนอร์ที่จะอยู่ตรงข้างๆวิดีโอหลักที่เปิดใช้งานอยู่ 3. Overlay – in – Video Ads คือ ป้ายโฆษณา หรือแบนเนอร์ ...